จิตวิทยาแห่งการดูแลหลังบ้านของตนเอง ตามแบบ Jordan Peterson

จิตวิทยาแห่งการดูแลหลังบ้านของตนเอง ตามแบบ Jordan Peterson

09 ต.ค. 2567   ผู้เข้าชม 11

A Jack Russell dog is sitting and playing at the Smiling Buffalo Yard, Chiang Mai University.

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา การเข้ามาของโรค panic disorder เปลี่ยนชีวิตของผู้เขียนไปบางส่วน เพื่อนของผู้เขียนรับฟังความน่ารำคาญของอาการที่ทวีคูณขึ้นหลังสามทุ่ม พลางพูดขึ้นมาว่า “เราต่างอยู่ในโศกนาฎกรรม เราทุกคนต่างมีความทุกข์เป็นของตนเอง” มันเป็นความจริงที่เป็นสัจธรรมทีเดียว

โลกภายนอกจากลานควายยิ้ม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่เรากำลังนั่งเอนตัวกับสุนัขแจ็ครัสเซล มีคนเลิกเหล้าที่กำลังต่อสู้ให้ตนเองมีสิทธิ์ในการเลี้ยงลูก มีคนที่กำลังรอรับบริจาคหัวใจอยู่บนเตียงในโอกาสสุดท้าย

ถ้าย้อนไปในช่วงเดียวกัน แต่เป็นในปี 1943 ผู้คนจำนวนหนึ่งกำลังซ่อนตัวจากระเบิด และชาวยิวอีกกลุ่มหนึ่งกำลังถูกต้อนเข้าค่ายเอาชวิทซ์ มันดูเหมือน panic disorder จะเป็นปัญหาที่เล็กลงระดับหนึ่งทันที

แต่สาระของมันไม่ได้อยู่ที่ขนาดและความเข้าใจต่อปัญหาทั้งหมดบนโลกเพื่อทำให้เราความรู้สึกดีขึ้นด้วยสมองที่ผิดปกติ ในความเป็นจริง เราทุกคนต่างเผชิญความเจ็บปวด ความลำบากยากแค้นที่จะมีชีวิต ความล่มสลายทางอารมณ์ รวมทั้งอาจแปลงความเกลียดชังเป็นความปรารถนาที่จะแก้แค้นต่อโลกใบนี้ด้วยการกราดยิงผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่หรือเข่นฆ่าคนผู้บริสุทธิ์


อ่างแก้ว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

Jordan Peterson กล่าวในหนังสือเรื่อง 12 กฎที่ใช้ได้ตลอดชีวิตว่า

หากคุณกำลังเป็นทุกข์ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องธรรมดา คนเรามีข้อจำกัดและชีวิตก็อนาถ แต่หากความทุกข์ของคุณมากเกินกว่าจะรับไหวจนทำให้ชีวิตเสื่อมโทรม ขอให้ลองพิจารณาจากสิ่งเล็ก ๆ ก่อน

  • คุณได้ใช้ประโยชน์จากโอกาสที่คุณได้รับแล้วหรือยัง?

  • คุณเคยอยู่อย่างสงบสุขกับครอบครัวของคุณหรือไม่?

  • คุณให้เกียรติเคารพคู่ครองหรือลูก ๆ ของคุณหรือไม่?

  • คุณทุ่มเทให้กับงานอย่างหนักหรือปล่อยให้ความขมขื่นเกลียดชังเหนี่ยวรั้งดึงให้คุณตกต่ำหรือเปล่า?

  • มีสิ่งใดบ้างไหมที่คุณทำได้ ที่คุณรู้ว่าสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ให้ชีวิตของคุณดีขึ้นได้

    คำถามที่สำคัญ คือ...

“คุณเคยชำระล้างชีวิตของคุณหรือไม่”

รูปแบบของมันใกล้เคียงกับหลักการของมาริเอะ คนโด ผู้เขียนวิธีการจัดบ้านในหนังสือ The Life-Changing Magic of Tidying Up ให้คุณจินตนาการว่า

ชีวิตของคุณ คือ บ้านหลังหนึ่ง ที่ซุกทั้งสิ่งที่มีความหมาย สิ่งที่งดงาม ฟืนไฟแห่งความฝันที่ยังคุกกรุ่นตั้งแต่เยาว์วัย ความจำที่ยังลังเลอยู่ว่าจะเก็บหรือทิ้งไปจากใจ แต่โดยมากแล้วมันเต็มไปด้วยสิ่งเน่าเฟะราวกับโรคชอบเก็บของ (Hoarding Disorder) คุณจะคุ้ยกองเศษซากประสบการณ์แย่ๆทั้งหลายแหล่ขึ้นมาเชยชมซ้ำแล้วซ้ำเล่าตอนก่อนนอน ตอนล้มเหลว ตอนเอาตัวรอด หรือตอนที่ทะเลาะกับครอบครัว ขยะเหล่านั้นทำอะไรไม่ได้มากนอกจากจะตอกย้ำเรื่องที่คุณเคยชนะ เสียหายหรือแพ้ราบคาบ

ในตอนนี้ คุณสามารถเริ่มหยุดสะสมขยะกองล่าสุด ด้วยการพยายามหยุดในสิ่งที่คุณก็รู้ว่าผิด

อย่าเสียเวลาตั้งคำถามว่า ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นสิ่งที่ผิดล่ะ? คำถามเหล่านี้ไม่ช่วยให้เรากระจ่างและยังทำให้หันเหจากการกระทำไปสู่ความสับสนงุนงง มนุษย์ทุกคนมีภูมิปัญญาที่ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจได้ คุณเพียงหยุดกระทำสิ่งที่ชิงชังนั่นเสีย หยุดทำในสิ่งที่น่าละอายหรือหวาดกลัว ไม่ว่ามันจะคลุมเครือมากแค่ไหนก็ตาม คุณสามารถใช้มาตรฐานตนเองมาตัดสินแนวทางปฏิบัติของตนเองได้

อย่ามัวกล่าวโทษนักการเมือง การปิดตาข้างหนึ่งในที่ทำงาน พวกเผด็จการ วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ ระบบทุนนิยมแบบผูกขาดหรือปีศาจร้ายในตัวคุณ

อย่าได้จัดระเบียบรัฐใหม่จนกว่าจะจัดระเบียบประสบการณ์ของคุณก่อน หากคุณไม่สามารถสร้างสันติสุขในบ้านของคุณได้ คุณกล้าดีอย่างไรจะวิจารณ์โลก

“ดูแลบ้านของคุณให้เรียบร้อย ก่อนที่จะวิจารณ์โลก”

คอยให้จิตวิญญาณนำทางคุณ พูดกับครอบครัวในสิ่งที่คุณอยากพูดจริง ๆ ไม่ใช่เติมความสัมพันธ์ด้วยการโกหก แสดงความต้องการต่อสิ่งที่คุณอยากได้ ลงมือแก้ไขสิ่งที่คุณยังทำไม่เสร็จ

แล้วชีวิตของคุณจะผ่อนคลายขึ้น สมองจะปลอดโปร่งขึ้น ประสบการณ์ของคุณก็จะดีขึ้น หลังจากผ่านไปเป็นระยะหนึ่งใหญ่ ๆ ชีวิตของคุณจะลดความซับซ้อนลง คุณจะเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เรียบง่ายและยอมรับความเปราะบางของตนเอง

จากนั้นสิ่งที่เหลือในอดีตจะเป็นเพียงโศกนาฎกรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เท่านั้น โดยไม่ต้องมากังวลว่าความเจ็บปวดทรมานจะเข้ามายุ่มย่ามให้ใช้ชีวิตจนเป็นเรื่องขมขื่นจนยากจะรับไหวต่อไป คุณอาจค้นพบว่าสามารถแบกรับความบิดเบี้ยวที่เคยมโหฬารไว้ด้วยมือสองมือหรือทิ้งมันไว้ในจุดที่มองเห็นได้

บางทีจากนั้นวิญญาณสักเสี้ยวหนึ่งที่แข็งแกร่งอาจค้นพบการดำรงอยู่อย่างงดงาม สมควรที่จะเฉลิมฉลอง!

แล้วถ้าหลังบ้านของเรามันเกินเยียวยา?

แต่ถ้าความเสื่อมโทรมของคุณไปไกลกว่าที่จะจัดระเบียบได้ด้วยสองมือของตนเอง บ้านของคุณอยู่เหนือการควบคุมคล้ายซ่อนกับดักระเบิดไว้ทุกซอกมุม ปีศาจในใจเติบโตจนปกครองตนเองโดยอิสระ กลไกทางสรีระตอบสนองต่อความเจ็บปวดด้วยความตื่นตัวตลอดเวลา จนบางครั้งเป็นลมล้มพับไปหรือต่อยตีคนที่รักโดยไม่รู้ตัว(ทั้ง ๆ ที่โลกนี้ใจดีกับคุณ)

การชำระล้างชีวิตของคุณต้องอาศัยนักจิตวิทยา รากฐานของบ้านของคุณอาจจะเก็บซ่อนรอยแผลที่ทางใจคุณต้องชำแหล่ะมันอย่างเบามือและใช้ความเชี่ยวชาญพิเศษ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนมองข้ามไป กระทั่งร่างกายแสดงสัญญาณออกมา ถ้าคุณยังฝืนที่จะใช้ชีวิตต่อไปด้วยความประมาท มันอาจจะพัฒนาเป็นการปรับตัวที่ผิดปกติ เหมือนทหารผ่านศึกที่ลืมไปว่าสงครามจบไปแล้ว หรือเหมือนผู้เขียนเองที่นอนสั่นกลัวจากอาการของ panic disorder อยู่บนเตียงนุ่ม ๆ ในห้องนอนที่อบอุ่นและปลอดภัย  

 

What Happened to you แค่เข้าใจก็ไม่เจ็บแล้ว

ผู้คนส่วนใหญ่เคยเผชิญกับประสบการณ์ในวัยเด็กที่แย่ ความทรงจำเหล่านี้เก็บอยู่ในสมองส่วนล่าง ๆ ที่สามารถกระตุ้นการตอบสนองอันสลับซับซ้อนทางพฤติกรรม อารมณ์และสรีรวิทยาได้

เด็กที่หวาดกลัว เก็บซ่อนตัวหรือสู้ยิบตาต่อสถานการณ์ที่รุนแรงในอดีตอาจกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ (มีหลังบ้านที่สะอาดสะอ้านได้) กระทั่งมีบางอย่างเริ่มพังลงมาจากรากฐานที่บิดเบี้ยว

บรูซ เพอร์รีย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองและบาดแผลในจิตใจ (Trauma) เขียนหนังสือ What Happened to You? (แค่เข้าใจก็ไม่เจ็บแล้ว) อธิบายว่า ประสบการณ์ในวัยเด็กส่งผลต่อบุคคลแตกต่างกัน และผลกระทบระยะยาวของมันก็แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

ดังนั้นแทนที่เราจะตั้งคำถามกับตนเองว่า ฉันเป็นบ้าอะไรเนี่ย? ต้องเปลี่ยนแปลงเป็น "ฉันผ่านอะไรมาบ้าง?"

การชำระล้างที่ลงลึกไปถึงฐานรากของความเป็นมนุษย์จะทำให้บ้านแข็งแรงและมีลักษณะสำคัญคือ “การฟื้นตัวได้” รวมทั้งมีอธิปไตยเหนือตนเอง อธิปไตยเหนือระบบประสาทอัตโนมัติที่ทำงานแบบวิปลาส จิตแพทย์จะไม่ได้ช่วยรื้อบ้านหรือเป็นผู้รับเหมาสร้างบ้านใหม่ให้คุณ แต่จะเป็นกระจกสะท้อนภาพชีวิตที่คุณไม่ได้ใช้เวลากับมันอย่างถูกจุด

การชำระหลังบ้านของตนเองเป็นการจัดการความสับสนยุ่งเหยิงภายในตนเอง ทำให้พื้นที่ที่โกลาหลเป็นสิ่งที่ทำนายได้ ควบคุมได้

ในอดีต มีผู้ยโสโอหังที่ทำเหมือนรู้ว่าจะทำให้โลกนี้ดีขึ้นได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่หลังบ้านเต็มไปด้วยคตินิยมแนวคิดพื้น ๆ ที่จำแลงกายอยู่ในรูปของวิทยาศาสตร์ ปีเตอร์สันกล่าวว่า นักคตินิยมเป็นตัวอันตรายเมื่อพวกเขาขึ้นมามีอำนาจ พวกเขาอาจพยายามรักษาอัตลักษณ์ของตนไว้ด้วยสงคราม การทำลายมนุษยชาติและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เนื่องจากความเข้าใจว่าตนรู้ทุกอย่างดีแล้วไม่สามารถเข้ากันได้กับการดำรงอยู่ของมนุษย์ที่แสนซับซ้อน พวกเขาไม่อาจโทษตนเอง ไม่อาจมองเห็นหลังบ้านที่มอดไหม้ สัญญาณของความโง่เขลา หรือรากฐานที่กำลังพังทลาย แต่จะโทษผู้อื่น บิดเบือนสังคมให้ไปในทิศทางเดียวกันกับความเชื่อของตน

บางทีสงครามที่คร่าชีวิตผู้คนเป็นพันเป็นหมื่นคนในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ อาจเริ่มมาจากหลังบ้านของผู้นำสักคนที่เกลียดชังตนเองหรือมีประสบการณ์ในวัยเด็กที่ถูกปฏิบัติแบบพวกขี้แพ้  เพราะฉะนั้น ตั้งแต่วันนี้ไป จงดูแลหลังบ้านของตนให้ดี  

โดย Nayanee


สาระน่ารู้ที่เกี่ยวข้อง

จัดการงาน HR ง่ายๆ ด้วย PLUM HR: ระบบ HR ที่ช่วยให้การบริหารพนักงานมีประสิทธิภาพสูงสุด
07 พ.ค. 2568

จัดการงาน HR ง่ายๆ ด้วย PLUM HR: ระบบ HR ที่ช่วยให้การบริหารพนักงานมีประสิทธิภาพสูงสุด

เทคโนโลยี และนวัตกรรม
"นาจา" เด็กชายผู้เปี่ยมพลัง แต่ไร้ที่ให้เป็นตัวของตัวเอง
21 มี.ค. 2568

"นาจา" เด็กชายผู้เปี่ยมพลัง แต่ไร้ที่ให้เป็นตัวของตัวเอง

สังคม ศิลปะ และวัฒนธรรม
วิธีการรับทำ Payroll และเงินเดือนด้วย PLUM HR ระบบจัดการที่คุณวางใจ
07 พ.ค. 2568

วิธีการรับทำ Payroll และเงินเดือนด้วย PLUM HR ระบบจัดการที่คุณวางใจ

เทคโนโลยี และนวัตกรรม