เมื่อต้นปีที่ผ่านมา การเข้ามาของโรค Panic Disorder เปลี่ยนชีวิตของผู้เขียนไปบางส่วน เพื่อนของผู้เขียนรับฟังความน่ารำคาญของอาการที่ทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ หลังสามทุ่ม พลางพูดขึ้นมาว่า “เราต่างอยู่ในโศกนาฎกรรม เราทุกคนต่างมีความทุกข์เป็นของตนเอง” มันเป็นความจริงที่เป็นสัจธรรมทีเดียว โลกภายนอกจากลานควายยิ้มที่เรากำลังนั่งเอนตัวกับสุนัขพันธ์บีเกิล มีคนเลิกเหล้าที่กำลังต่อสู้ให้ตนเองมีสิทธิ์ในการเลี้ยงลูก มีคนที่กำลังรอรับบริจาคหัวใจอยู่บนเตียงในเดือนสุดท้าย ถ้าย้อนไปอีกช่วงหนึ่งของเดือนกุมภาพันธ์ปี 1943 ผู้คนกำลังซ่อนตัวจากระเบิดและชาวยิวกำลังถูกทารุณเข้าค่ายเอาชวิทซ์ มันดูเหมือน Panic Disorder จะเป็นปัญหาที่เล็กลงระดับหนึ่งทันที แต่สาระของมันไม่ได้อยู่ที่ขนาดและความเข้าใจต่อปัญหาทั้งหมดบนโลกเพื่อทำให้เราความรู้สึกดีขึ้นด้วยสมองที่ผิดปกติ ในความเป็นจริง ทุกคนต่างเผชิญความเจ็บปวด ความลำบากยากแค้นของการมีชีวิต ความล่มสลายทางอารมณ์ รวมทั้งอาจแปลงความเกลียดชังเป็นความปรารถนาที่จะแก้แค้นต่อโลกด้วยการกราดยิง ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่หรือฆ่าคนผู้บริสุทธิ์
จอร์แดน บี ปีเตอร์สัน เขียนในหนังสือเรื่อง 12 กฎที่ใช้ได้ตลอดชีวิตว่า หากคุณกำลังเป็นทุกข์ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องธรรมดา คนเรามีข้อจำกัดและชีวิตก็อนาถ แต่หากความทุกข์ของคุณมากเกินกว่าจะรับไหวจนทำให้ชีวิตเสื่อมโทรม ขอให้ลองพิจารณาจากสิ่งเล็ก ๆ ก่อน คุณได้ใช้ประโยชน์จากโอกาสที่คุณได้รับแล้วหรือยัง คุณเคยอยู่อย่างสงบสุขกับครอบครัวของคุณหรือไม่ คุณให้เกียรติเคารพคู่ครองหรือลูก ๆ ของคุณหรือไม่
คุณทุ่มเทให้กับงานอย่างหนักหรือปล่อยให้ความขมขื่นเกลียดชังเหนี่ยวรั้งดึงให้คุณตกต่ำหรือเปล่า มีสิ่งใดบ้างไหมที่คุณทำได้ ที่คุณรู้ว่าสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ให้ชีวิตของคุณดีขึ้นได้ คุณเคยชำระล้างชีวิตของคุณหรือไม่
รูปแบบของมันใกล้เคียงกับหลักการของมาริเอะ คนโด ผู้ที่เขียนวิธีการจัดบ้านในหนังสือ The Life-Changing Magic of Tidying Up เมื่อชีวิตของคุณคือบ้านหนึ่งหลังที่ซุกสิ่งที่มีความหมาย สิ่งที่ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเก็บหรือจะทิ้ง หรือสิ่งเน่าเฟะเกินเยียวยาราวกับโรคชอบเก็บของ (Hoarding Disorder) ขยะเหล่านั้นเป็นประสบการณ์ที่ตอกย้ำการเอาตัวรอดที่คุณเคยชนะ เสียหายหรือแพ้ราบคาบ ในตอนนี้ คุณสามารถเริ่มหยุดสะสมขยะกองล่าสุดด้วยการพยายามหยุดในสิ่งที่คุณก็รู้ว่าผิด อย่าเสียเวลาตั้งคำถามว่า คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นสิ่งที่ผิด? คำถามเหล่านี้ไม่ช่วยให้เรากระจ่างและยังทำให้หันเหจากการกระทำไปสู่ความสับสนงุนงง มนุษย์ทุกคนมีภูมิปัญญาที่ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจได้ คุณเพียงหยุดกระทำสิ่งที่ชิงชังนั่นเสีย หยุดทำในสิ่งที่น่าละอายหรือหวาดกลัว ไม่ว่ามันจะคลุมเครือมากแค่ไหนก็ตาม คุณสามารถใช้มาตรฐานตนเองมาตัดสินแนวทางปฏิบัติของตนเองได้ อย่ามัวกล่าวโทษนักการเมือง การปิดตาข้างหนึ่งในที่ทำงาน พวกเผด็จการ วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ ระบบทุนนิยมแบบผูกขาดหรือปีศาจร้ายในตัวคุณ อย่าได้จัดระเบียบรัฐใหม่จนกว่าจะจัดระเบียบประสบการณ์ของคุณก่อน หากคุณไม่สามารถสร้างสันติสุขในบ้านของคุณได้ คุณกล้าดีอย่างไรจะวิจารณ์โลก
คอยให้จิตวิญญาณนำทางคุณ พูดกับครอบครัวในสิ่งที่คุณอยากพูดจริง ๆ ไม่ใช่เติมความสัมพันธ์ด้วยการโกหก แสดงความต้องการต่อสิ่งที่คุณอยากได้ ลงมือแก้ไขสิ่งที่คุณยังทำไม่เสร็จ แล้วชีวิตของคุณจะผ่อนคลายขึ้น สมองจะปลอดโปร่ง ประสบการณ์ของคุณก็จะดีขึ้น หลังจากผ่านไปเป็นระยะหนึ่งใหญ่ ๆ ชีวิตของคุณจะลดความซับซ้อนลง คุณจะเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เรียบง่ายและยอมรับความเปราะบางของตนเอง
จากนั้นสิ่งที่เหลือในอดีตจะเป็นเพียงโศกนาฎกรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เท่านั้น โดยไม่ต้องมากังวลว่าความเจ็บปวดทรมานจะเข้ามายุ่มย่ามให้ใช้ชีวิตจนเป็นเรื่องขมขื่นจนยากจะรับไหวต่อไป คุณอาจค้นพบว่าสามารถแบกรับความบิดเบี้ยวที่เคยมโหฬารไว้ด้วยมือสองมือหรือทิ้งมันไว้ในจุดที่มองเห็นได้ บางทีจากนั้นวิญญาณสักเสี้ยวหนึ่งที่แข็งแกร่งอาจค้นพบการดำรงอยู่อย่างงดงาม สมควรที่จะเฉลิมฉลอง
แต่ถ้าความเสื่อมโทรมของคุณไปไกลกว่าที่จะจัดระเบียบได้ด้วยตนเอง บ้านของคุณอยู่เหนือการควบคุมคล้ายกับซ่อนกับดักระเบิดไว้ทุกซอกมุมและปีศาจในใจเติบโตจนปกครองตนเองโดยอิสระ กลไกทางสรีระตอบสนองต่อความเจ็บปวดด้วยความตื่นตัวตลอดเวลาจนบางครั้งเป็นลมล้มพับไปหรือต่อยตีคนที่รักโดยไม่รู้ตัว
(ทั้ง ๆ ที่โลกนี้ใจดีกับคุณ) การชำระล้างชีวิตของคุณต้องอาศัยนักจิตวิทยา รากฐานของบ้านของคุณอาจจะเก็บซ่อนรอยแผลที่ทางใจคุณต้องชำแหล่ะมันอย่างเบามือและใช้ความเชี่ยวชาญพิเศษ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนมองข้ามไปจนร่างกายแสดงสัญญาณออกมาในวันหนึ่ง ถ้าคนผู้นั้นยังฝืนที่จะใช้ชีวิตต่อไปแบบปิดตาข้างหนึ่ง ก็อาจจะกลายเป็นการปรับตัวที่ผิดปกติ เหมือนทหารผ่านศึกที่ลืมไปว่าสงครามจบไปแล้ว หรือเหมือนผู้เขียนเองที่นอนสั่นกลัวจาก Panic Disorder อยู่บนเตียงนุ่ม ๆ ในห้องนอนที่อบอุ่นและปลอดภัย
ผู้คนส่วนใหญ่เคยเผชิญกับประสบการณ์ในวัยเด็กที่แย่ ความทรงจำเหล่านี้เก็บอยู่ในสมองส่วนล่าง ๆ ที่สามารถกระตุ้นการตอบสนองอันสลับซับซ้อนทางพฤติกรรม อารมณ์และสรีรวิทยาได้ เด็กที่หวาดกลัว เก็บซ่อนตัวหรือสู้ยิบตาต่อสถานการณ์ที่รุนแรงในอดีตอาจกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ (มีหลังบ้านที่สะอาดสะอ้านได้) กระทั่งมีบางอย่างเริ่มพังลงมาจากรากฐานที่บิดเบี้ยว บรูซ เพอร์รีย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองและบาดแผลในจิตใจ (Trauma) เขียนหนังสือ What Happened to You? ที่อธิบายว่าประสบการณ์ในวัยเด็กส่งผลต่อบุคคลแตกต่างกันและผลกระทบระยะยาวของมันก็แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ดังนั้นแทนที่เราจะตั้งคำถามว่า คุณกำลังเป็นบ้าอะไร ต้องเปลี่ยนแปลงเป็น คุณผ่านอะไรมาบ้าง การชำระล้างที่ลงลึกไปถึงฐานรากของความเป็นมนุษย์จะทำให้บ้านแข็งแรงและมีลักษณะสำคัญคือ “การฟื้นตัวได้” รวมทั้งมีอธิปไตยเหนือตนเอง อธิปไตยเหนือระบบประสาทอัตโนมัติที่ทำงานแบบวิปลาส จิตแพทย์จะไม่ได้ช่วยรื้อบ้านหรือเป็นผู้รับเหมาสร้างบ้านใหม่ให้คุณ แต่จะเป็นกระจกสะท้อนภาพชีวิตที่คุณไม่ได้ใช้เวลากับมันอย่างถูกจุด
การชำระหลังบ้านของตนเองเป็นการจัดการความสับสนยุ่งเหยิงภายในตนเอง ทำให้พื้นที่ที่โกลาหลเป็นสิ่งที่ทำนายได้ ควบคุมได้ ในอดีต มีผู้ยโสโอหังที่ทำเหมือนรู้ว่าจะทำให้โลกนี้ดีขึ้นได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่หลังบ้านเต็มไปด้วยคตินิยมแนวคิดพื้น ๆ ที่จำแลงกายอยู่ในรูปของวิทยาศาสตร์ ปีเตอร์สันกล่าวว่า นักคตินิยมเป็นตัวอันตรายเมื่อพวกเขาขึ้นมามีอำนาจ พวกเขาอาจพยายามรักษาอัตลักษณ์ของตนไว้ด้วยสงคราม การทำลายมนุษยชาติและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เนื่องจากความเข้าใจว่าตนรู้ทุกอย่างดีแล้วไม่สามารถเข้ากันได้กับการดำรงอยู่ของมนุษย์ที่แสนซับซ้อน พวกเขาไม่อาจโทษตนเอง ไม่อาจมองเห็นหลังบ้านที่มอดไหม้ สัญญาณของความโง่เขลา หรือรากฐานที่กำลังพังทลาย แต่จะโทษผู้อื่น บิดเบือนสังคมให้ไปในทิศทางเดียวกันกับความเชื่อของตน
บางทีสงครามที่คร่าชีวิตผู้คนเป็นพันคนอาจเริ่มมาจากหลังบ้านของใครสักคนที่เกลียดชังตนเองหรือมีประสบการณ์ในวัยเด็กที่ถูกปฏิบัติแบบพวกขี้แพ้ เพราะฉะนั้น ดูแลหลังบ้านของตนให้ดี
โดย Nanyae