เมื่อสุขภาพจิตกลายเป็นแฮชแท็กสวย ๆ บน TikTok บทความนี้ชำแหละการโรแมนติไซส์โรคจิตเวช ที่อาจทำร้ายมากกว่าช่วยเหลือ
ลองนึกภาพหญิงสาวคนหนึ่งนั่งริมหน้าต่าง ฝนตกพรำ แสงแดดหม่นส่องผ่านผ้าม่านลูกไม้ เธอสวมเสื้อไหมพรมตัวหลวม จิบกาแฟอุ่นในแก้วเซรามิก แล้วโพสต์สตอรี่พร้อมแคปชั่นว่า
“เศร้าในวันฝนตกอีกแล้วสิ ☕🌧 #depressionaesthetic”
ยินดีต้อนรับสู่ยุคที่โรคซึมเศร้าถูกแปลงร่างเป็นธีมอินสตาแกรม และความเจ็บปวดทางใจกลายเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ส่วนตัวยุคที่ ความป่วยไข้ทางจิตกลายเป็นสไตล์ (mental illness as an aesthetic)
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การพูดเรื่องสุขภาพจิตเป็นเรื่องที่เปิดกว้างขึ้น ซึ่งถือเป็นชัยชนะของวงการจิตวิทยาและการรณรงค์จากทั่วโลก แต่เส้นแบ่งระหว่าง การให้ความรู้ กับ การทำให้โรคจิตเวชดูชิคเกินจริง เริ่มเลือนรางอย่างน่ากังวล
งานวิจัยของ Purington และคณะ (2020) พบว่า โพสต์ที่ใช้แฮชแท็กเกี่ยวกับสุขภาพจิตบน Instagram เช่น #anxiety, #bipolar, #sadgirl หรือแม้แต่ #mentalhealth มีแนวโน้มถูกรีโพสต์และได้รับยอดไลก์สูงกว่าคอนเทนต์ทั่วไปถึง 33% โดยเฉพาะเมื่อมี “อารมณ์ความรู้สึก” ที่ชวนให้คนรู้สึก ลึกซึ้ง เศร้า หรือโดดเดี่ยวร่วมกัน
แต่ปัญหาคือ… ความเจ็บป่วยเหล่านี้ไม่ใช่บทกวี หรือหนัง coming-of-age ที่จะเข้าใจได้ด้วยการใส่ฟิลเตอร์ขาวดำ
โรคซึมเศร้าไม่ใช่ภาพสาวน้อยเหม่อลอยใต้ต้นไม้ แต่คือการนอนเป็นศพบนเตียงโดยไม่แปรงฟันมา 3 วัน
องค์การอนามัยโลก (WHO, 2023) รายงานว่าโรคซึมเศร้าเป็นสาเหตุสำคัญอันดับต้น ๆ ของการทุพพลภาพทั่วโลก โดยมีผู้ป่วยมากกว่า 280 ล้านคน
ผู้ป่วยโรคไบโพลาร์มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงถึง 15–17% ตลอดช่วงชีวิต (Tondo et al., 2003)
ในขณะเดียวกัน โพสต์เกี่ยวกับสุขภาพจิตบน TikTok ภายใต้แฮชแท็ก #bipolargirlfriend หรือ #anxietycheck กลับถูกใช้เพื่อ สร้างคาแรกเตอร์ที่ดูเท่ ติสต์ หรือปั่นยอดวิว มากกว่าจะให้ความรู้ที่ถูกต้อง
การทำให้ความป่วยไข้ดูโรแมนติกไม่เพียงบิดเบือนความเข้าใจของสังคมต่อโรคจิตเวช แต่ยังอาจ ทำให้ผู้ป่วยจริง ๆ ไม่กล้าออกมาขอความช่วยเหลือ เพราะกลัวว่าความทุกข์ของตนไม่สวยพอ หรือไม่ “อิน” พอจะได้รับความสนใจ
ในปี 2021 แบรนด์แฟชั่นระดับโลกแห่งหนึ่งเปิดตัวคอลเลกชั่นเสื้อผ้าที่มีคำว่า “depression”, “psychotic”, “anxiety club” บนเสื้อยืด โดยใช้โมเดลเดินแบบหน้าตาเศร้าแต่งหน้าสวยเหมือนนางเอกในมิวสิกวิดีโอ
แม้จะมีเจตนาในการสื่อสารเรื่องสุขภาพจิต แต่การใช้ ความป่วยเป็นเครื่องประดับบนรันเวย์ กลับทำให้หลายคนรู้สึกว่าความเจ็บป่วยเหล่านี้ ถูกลดทอนเหลือแค่สัญลักษณ์ มากกว่าจะเข้าใจในความรุนแรงของมันจริง ๆ
เมื่ออาการที่ทรมานถูกใช้เพื่อขายเสื้อยืดหรือยอดฟอลโลเวอร์ สิ่งที่หายไปคือความเป็นมนุษย์ของผู้ป่วยจริง ๆ
เราควรแยกแยะระหว่าง การเปิดพื้นที่ให้พูดถึงสุขภาพจิต (ซึ่งสำคัญมาก) กับ การทำให้มันกลายเป็นเนื้อหา “โรแมนติก” เพื่อความบันเทิงหรือสร้างตัวตน
แน่นอนว่าไม่ผิดที่คนจะเขียนบทกวีจากความเจ็บปวดของตนเอง ไม่ผิดที่จะเล่าเรื่องราวชีวิตผ่านคอนเทนต์ แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ
การสร้างภาพว่า ความป่วย = ความลึกซึ้ง = ความน่าหลงใหล
การที่คนบางกลุ่มแกล้งมีอาการเพื่อ “ดูพิเศษ” หรือใช้เป็นข้ออ้างทางสังคม (performative illness)
ซึ่งสุดท้ายแล้วอาจนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า “Münchausen by Internet” — หรือการแกล้งเป็นผู้ป่วยเพื่อเรียกร้องความสนใจบนโลกออนไลน์ (Feldman, 2000)
เราทุกคนต่างเคยได้ยิน หรือพูดเองด้วยซ้ำไป
"เมื่อวานอยากฆ่าตัวตาย วันนี้กินหมูกระทะ – กูไบโพลาร์แน่เลย"
“นั่งเหม่อเก่ง เป็นซึมเศร้าปะวะ”
“ไม่เข้าสังคม = เป็นโรค”
แต่มุกเหล่านี้แม้จะดูตลก อาจกลายเป็นดาบสองคมที่ ลดทอนคุณค่าของคำว่า “โรค” จนความเจ็บป่วยกลายเป็นมีม และความทุกข์กลายเป็น punchline
หากอยากช่วยให้สังคมเข้าใจสุขภาพจิตอย่างแท้จริง อย่าหยุดที่การแชร์คำคมเหงา ๆ หรือรูปหน้าตาเศร้า ๆ บน TikTok
เปิดพื้นที่ให้พูดอย่างตรงไปตรงมา ว่าการเป็นซึมเศร้าไม่ใช่แค่ “รู้สึกเศร้า” แต่คือการขาดสารเคมีในสมองที่ควบคุมพลังชีวิต
ไม่ด่วนวินิจฉัยตนเองหรือผู้อื่น เพียงเพราะดูคล้ายกับโพสต์ในโลกออนไลน์
กล้าที่จะอยู่กับคนที่ทุกข์ โดยไม่ต้องแปลงความทุกข์ให้เป็นแคปชั่น
การเข้าใจ คือการอยู่เคียงข้าง โดยไม่ต้องทำให้มันดูสวย
ความเจ็บป่วยทางจิตคือเรื่องจริง มีเลือด มีน้ำตา มีความทรมานที่ลึกกว่าภาพบนจอ หากคุณเป็นผู้ป่วย — คุณไม่จำเป็นต้องโรแมนติกเพื่อให้ใครเชื่อคุณ
หากคุณไม่ใช่ผู้ป่วย คุณไม่จำเป็นต้องยืมความทุกข์คนอื่นมาเป็นฉากหลังให้ตัวเองดู “ลึกซึ้ง”
ในโลกที่ทุกคนอยากดูเหมือนมีเรื่องราว —
บางครั้ง ความกล้าในการ ไม่แต่งแต้มความเจ็บปวดให้เป็นสไตล์
คือสิ่งที่มนุษย์ที่สุดแล้ว