Romanticization of Mental Illness เมื่อโซเชียลมีเดียทำให้ปัญหาสุขภาพจิตดู ‘โรแมนติก’ เกินจริง

Romanticization of Mental Illness เมื่อโซเชียลมีเดียทำให้ปัญหาสุขภาพจิตดู ‘โรแมนติก’ เกินจริง

08 ก.ค. 2568   ผู้เข้าชม 20

เมื่อสุขภาพจิตกลายเป็นแฮชแท็กสวย ๆ บน TikTok บทความนี้ชำแหละการโรแมนติไซส์โรคจิตเวช ที่อาจทำร้ายมากกว่าช่วยเหลือ

ลองนึกภาพหญิงสาวคนหนึ่งนั่งริมหน้าต่าง ฝนตกพรำ แสงแดดหม่นส่องผ่านผ้าม่านลูกไม้ เธอสวมเสื้อไหมพรมตัวหลวม จิบกาแฟอุ่นในแก้วเซรามิก แล้วโพสต์สตอรี่พร้อมแคปชั่นว่า
“เศร้าในวันฝนตกอีกแล้วสิ ☕🌧 #depressionaesthetic”

ยินดีต้อนรับสู่ยุคที่โรคซึมเศร้าถูกแปลงร่างเป็นธีมอินสตาแกรม และความเจ็บปวดทางใจกลายเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ส่วนตัวยุคที่ ความป่วยไข้ทางจิตกลายเป็นสไตล์ (mental illness as an aesthetic)

สุขภาพจิตในยุคอินสตาแกรม: แคปชั่นเท่ ๆ หรือการขอความช่วยเหลือที่หลงทิศ?

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การพูดเรื่องสุขภาพจิตเป็นเรื่องที่เปิดกว้างขึ้น ซึ่งถือเป็นชัยชนะของวงการจิตวิทยาและการรณรงค์จากทั่วโลก แต่เส้นแบ่งระหว่าง การให้ความรู้ กับ การทำให้โรคจิตเวชดูชิคเกินจริง เริ่มเลือนรางอย่างน่ากังวล

งานวิจัยของ Purington และคณะ (2020) พบว่า โพสต์ที่ใช้แฮชแท็กเกี่ยวกับสุขภาพจิตบน Instagram เช่น #anxiety, #bipolar, #sadgirl หรือแม้แต่ #mentalhealth มีแนวโน้มถูกรีโพสต์และได้รับยอดไลก์สูงกว่าคอนเทนต์ทั่วไปถึง 33% โดยเฉพาะเมื่อมี “อารมณ์ความรู้สึก” ที่ชวนให้คนรู้สึก ลึกซึ้ง เศร้า หรือโดดเดี่ยวร่วมกัน

แต่ปัญหาคือ… ความเจ็บป่วยเหล่านี้ไม่ใช่บทกวี หรือหนัง coming-of-age ที่จะเข้าใจได้ด้วยการใส่ฟิลเตอร์ขาวดำ

โรคซึมเศร้าไม่ใช่ภาพสาวน้อยเหม่อลอยใต้ต้นไม้ แต่คือการนอนเป็นศพบนเตียงโดยไม่แปรงฟันมา 3 วัน

สถิติที่ไม่โรแมนติกเลยสักนิด

  • องค์การอนามัยโลก (WHO, 2023) รายงานว่าโรคซึมเศร้าเป็นสาเหตุสำคัญอันดับต้น ๆ ของการทุพพลภาพทั่วโลก โดยมีผู้ป่วยมากกว่า 280 ล้านคน

  • ผู้ป่วยโรคไบโพลาร์มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงถึง 15–17% ตลอดช่วงชีวิต (Tondo et al., 2003)

  • ในขณะเดียวกัน โพสต์เกี่ยวกับสุขภาพจิตบน TikTok ภายใต้แฮชแท็ก #bipolargirlfriend หรือ #anxietycheck กลับถูกใช้เพื่อ สร้างคาแรกเตอร์ที่ดูเท่ ติสต์ หรือปั่นยอดวิว มากกว่าจะให้ความรู้ที่ถูกต้อง

การทำให้ความป่วยไข้ดูโรแมนติกไม่เพียงบิดเบือนความเข้าใจของสังคมต่อโรคจิตเวช แต่ยังอาจ ทำให้ผู้ป่วยจริง ๆ ไม่กล้าออกมาขอความช่วยเหลือ เพราะกลัวว่าความทุกข์ของตนไม่สวยพอ หรือไม่ “อิน” พอจะได้รับความสนใจ

ป่วยแต่เก๋? เมื่อแฟชั่นกลืนกินความจริง

ในปี 2021 แบรนด์แฟชั่นระดับโลกแห่งหนึ่งเปิดตัวคอลเลกชั่นเสื้อผ้าที่มีคำว่า “depression”, “psychotic”, “anxiety club” บนเสื้อยืด โดยใช้โมเดลเดินแบบหน้าตาเศร้าแต่งหน้าสวยเหมือนนางเอกในมิวสิกวิดีโอ

แม้จะมีเจตนาในการสื่อสารเรื่องสุขภาพจิต แต่การใช้ ความป่วยเป็นเครื่องประดับบนรันเวย์ กลับทำให้หลายคนรู้สึกว่าความเจ็บป่วยเหล่านี้ ถูกลดทอนเหลือแค่สัญลักษณ์ มากกว่าจะเข้าใจในความรุนแรงของมันจริง ๆ

เมื่ออาการที่ทรมานถูกใช้เพื่อขายเสื้อยืดหรือยอดฟอลโลเวอร์ สิ่งที่หายไปคือความเป็นมนุษย์ของผู้ป่วยจริง ๆ

หมอไม่ใช่ influencer และโรคไม่ใช่ aesthetic

เราควรแยกแยะระหว่าง การเปิดพื้นที่ให้พูดถึงสุขภาพจิต (ซึ่งสำคัญมาก) กับ การทำให้มันกลายเป็นเนื้อหา “โรแมนติก” เพื่อความบันเทิงหรือสร้างตัวตน

แน่นอนว่าไม่ผิดที่คนจะเขียนบทกวีจากความเจ็บปวดของตนเอง ไม่ผิดที่จะเล่าเรื่องราวชีวิตผ่านคอนเทนต์ แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ

  1. การสร้างภาพว่า ความป่วย = ความลึกซึ้ง = ความน่าหลงใหล

  2. การที่คนบางกลุ่มแกล้งมีอาการเพื่อ “ดูพิเศษ” หรือใช้เป็นข้ออ้างทางสังคม (performative illness)

ซึ่งสุดท้ายแล้วอาจนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า “Münchausen by Internet” — หรือการแกล้งเป็นผู้ป่วยเพื่อเรียกร้องความสนใจบนโลกออนไลน์ (Feldman, 2000)

มุกตลกที่ไม่ตลก "ฉันนอนไม่หลับ น่าจะเป็นไบโพลาร์"

เราทุกคนต่างเคยได้ยิน หรือพูดเองด้วยซ้ำไป
"เมื่อวานอยากฆ่าตัวตาย วันนี้กินหมูกระทะ – กูไบโพลาร์แน่เลย"
“นั่งเหม่อเก่ง เป็นซึมเศร้าปะวะ”
“ไม่เข้าสังคม = เป็นโรค”

แต่มุกเหล่านี้แม้จะดูตลก อาจกลายเป็นดาบสองคมที่ ลดทอนคุณค่าของคำว่า “โรค” จนความเจ็บป่วยกลายเป็นมีม และความทุกข์กลายเป็น punchline

ความเข้าใจคือสิ่งโรแมนติกที่สุด

หากอยากช่วยให้สังคมเข้าใจสุขภาพจิตอย่างแท้จริง อย่าหยุดที่การแชร์คำคมเหงา ๆ หรือรูปหน้าตาเศร้า ๆ บน TikTok

  • เปิดพื้นที่ให้พูดอย่างตรงไปตรงมา ว่าการเป็นซึมเศร้าไม่ใช่แค่ “รู้สึกเศร้า” แต่คือการขาดสารเคมีในสมองที่ควบคุมพลังชีวิต

  • ไม่ด่วนวินิจฉัยตนเองหรือผู้อื่น เพียงเพราะดูคล้ายกับโพสต์ในโลกออนไลน์

  • กล้าที่จะอยู่กับคนที่ทุกข์ โดยไม่ต้องแปลงความทุกข์ให้เป็นแคปชั่น

การเข้าใจ คือการอยู่เคียงข้าง โดยไม่ต้องทำให้มันดูสวย

สรุป โรคจิตเวชไม่ใช่เทรนด์แฟชั่น

ความเจ็บป่วยทางจิตคือเรื่องจริง มีเลือด มีน้ำตา มีความทรมานที่ลึกกว่าภาพบนจอ หากคุณเป็นผู้ป่วย — คุณไม่จำเป็นต้องโรแมนติกเพื่อให้ใครเชื่อคุณ
หากคุณไม่ใช่ผู้ป่วย คุณไม่จำเป็นต้องยืมความทุกข์คนอื่นมาเป็นฉากหลังให้ตัวเองดู “ลึกซึ้ง”

ในโลกที่ทุกคนอยากดูเหมือนมีเรื่องราว —
บางครั้ง ความกล้าในการ ไม่แต่งแต้มความเจ็บปวดให้เป็นสไตล์
คือสิ่งที่มนุษย์ที่สุดแล้ว


สาระน่ารู้ที่เกี่ยวข้อง

ทำไมเราหลงเสน่ห์การนินทา จากเสียงกระซิบในออฟฟิศสู่กลไกทางจิตวิทยา
12 ก.ย. 2568

ทำไมเราหลงเสน่ห์การนินทา จากเสียงกระซิบในออฟฟิศสู่กลไกทางจิตวิทยา

ไลฟ์สไตล์ และชีวิต
จิตวิทยาแห่งการดูแลหลังบ้านของตนเอง ตามแบบ Jordan Peterson
09 ต.ค. 2567

จิตวิทยาแห่งการดูแลหลังบ้านของตนเอง ตามแบบ Jordan Peterson

ไลฟ์สไตล์ และชีวิต
AI Paranoia Index ดัชนีวัดระดับความกลัว AI ทั่วโลก ที่แบรนด์ฉลาดต้องเข้าใจให้ลึก
11 มิ.ย. 2568

AI Paranoia Index ดัชนีวัดระดับความกลัว AI ทั่วโลก ที่แบรนด์ฉลาดต้องเข้าใจให้ลึก

เทคโนโลยี และนวัตกรรม