เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงดูมั่นใจเหลือเกิน ทั้งที่ความสามารถยังห่างไกลจากมืออาชีพ?
หรือทำไมผู้เชี่ยวชาญตัวจริงกลับดูถ่อมตนและระมัดระวังในการแสดงความเห็น?
นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่น่าสนใจ ที่เราเรียกว่า "มายาคติคนเก่ง" หรือที่นักจิตวิทยารู้จักกันในชื่อ “Dunning-Kruger Effect”
ก่อนที่เราจะอธิบายปรากฎการณ์นี้อย่างจริงจัง อ่านเรื่องราวสองเรื่องราวที่อยู่คนละที่ คนละเวลา
ในปี 1995 McArthur Wheeler ได้ปล้นธนาคารสองแห่งในเมืองพิตต์สเบิร์ก โดยไม่สวมหน้ากากหรือพยายามปิดบังใบหน้า ด้วยความเชื่อที่ว่าแค่ทาน้ำมะนาวบนร่างกายก็สามารถล่องหนหายวับไปจากกล้องวงจรปิดได้
เพราะเขาเข้าใจอย่างสุดโต่งว่าน้ำมะนาวสามารถใช้เป็น "หมึกล่องหน" ได้เหมือนที่ใช้เขียนข้อความลับ
ซึ่งตำรวจใช้เวลาไม่นานก็ตามจับเขาได้สำเร็จ (จากภาพในกล้องวงจรปิดนั่นแหละ) ตอนโดนรวบ Wheeler ถึงกับอุทานด้วยความตกใจว่า "แต่ผมทาน้ำมะนาวแล้วนี่!"
เรามาขยายความเข้าใจในปรากฎการณ์นี้ไปไกลอีกระดับ
Elizabeth Holmes ผู้ก่อตั้ง Theranos เชื่อมั่นว่าตนเองสามารถปฏิวัติวงการตรวจเลือดได้ด้วยเทคโนโลยีที่ใช้เลือดเพียงหยดเดียวในการตรวจโรคนับร้อยชนิด
แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญหลายคนจะ (พยายามอย่างหนัก) บอกว่า มันเป็นไปไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์(โว้ย!)
แต่เธอก็ยังคงหลอกลวงนักลงทุนและสาธารณชนต่อไปเป็นเวลาหลายปี ด้วยความมั่นใจว่าตัวเองเข้าใจวิทยาศาสตร์การแพทย์ดีพอ จนกระทั่งความจริงถูกเปิดเผยในปี 2015 นางฟ้าแห่งซิลิคอนแวลลีย์คนนี้ก็เดินเข้าคุกยาว ๆ ด้วยคดีฉ้อโกงและหลอกลวง
สิ่งที่น่าสนใจ คือ ทั้งสองกรณีแสดงให้เห็นว่า คนที่มีความรู้น้อยในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมักจะภูมิใจในความสามารถของตัวเองสูงเกินจริง และขาดความตระหนักถึงข้อจำกัดของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็มองไม่เห็นว่า คนอื่นที่มีความรู้จริงนั้นเก่งกว่าตนเองมากแค่ไหน นี่คือแก่นแท้ของ Dunning-Kruger Effect ที่น่ากลัวและน่าสนใจในเวลาเดียวกัน
เหตุการณ์โจรทาน้ำมะนาวปล้นธนาคารมีอิมแพ็คมากกว่าที่คิด อย่างมากที่สุดมันได้ตั้งคำถามให้เกิดขึ้นในหัวนักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยคอร์เนล David Dunning และ Justin Kruger ว่า
“ทำไมคนที่ไม่มีความรู้ (โง่) ถึงมั่นใจในตัวเองมากขนาดนี้?”
ทั้งคู่ได้พิสูจน์คำตอบของคำถามนี้ด้วยการทำการวิจัยง่าย ๆ ให้นักศึกษาทำแบบทดสอบด้านไวยากรณ์และตรรกะ จากนั้นให้ประเมินว่าตัวเองทำได้ดีแค่ไหน ผลลัพธ์ คือ นักศึกษาที่ทำคะแนนแย่ที่สุด (25% ล่าง) กลับประเมินว่าตัวเองทำได้ดีกว่าคนอื่นถึง 62%
ยิ่งกว่านั้น เมื่อโชว์คะแนนที่พวกเขาได้จริง ๆ กลุ่มที่ทำคะแนนแย่ยังคงประเมินตัวเองสูงเกินจริง ในขณะที่คนที่ทำคะแนนดีกลับประเมินตัวเองต่ำกว่าความเป็นจริง
การค้นพบนี้นำไปสู่ทฤษฎีที่เรียกว่า Dunning-Kruger Effect ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ “คนมีความรู้น้อย มักจะประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินจริง”
ความน่ากลัวของมันอยู่ที่ว่า ถ้าบุคคลนั้นมีกลุ่มคนที่ให้การสนับสนุนหรือส่งเสียงเชียร์ให้กับเรื่องแบบนี้ (ให้มั่นหน้ายิ่งไปอีก) กระทั่งมีอำนาจในการตัดสินใจบางอย่างที่มีผลต่อสังคมหรือการเมืองในวงกว้าง ความโง่นั้นอาจสร้างความเสียหายต่อคนจำนวนมากหรือประเทศชาติได้ (โดยที่เจ้าตัวก็อาจไม่รู้ตัว)
Dunning-Kruger Effect สามารถอธิบายผ่านโมเดล "ภูเขาแห่งความโง่เขลา" (Mount Stupid) ได้ ซึ่งต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญก็สามารถค้างเติ่งอยู่ในยอดเขาหรือหุบเหวสักแห่งในโมเดลนี้อย่างเหงา ๆ
ช่วงที่ 1 จุดเริ่มต้น: เป็นช่วงแรกที่มีการเรียนรู้สิ่งใหม่ คุณมีความกระตือรือร้นสูงที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ รู้สึกว่าตนเองเริ่มมีความรู้ สามารถทำได้
ช่วงที่ 2 ยอดเขาแห่งความโง่เขลา: หลังจากที่เรียนรู้ไประยะหนึ่ง คุณอาจติดสถานะ “รู้เกือบหมดทุกอย่าง” หรือเข้าขั้น “เห่อความรู้” ความมั่นใจจะเพิ่มขึ้นสูงปรี๊ดจนรู้สึกเหนือกว่าผู้อื่น อาจลามไปถึงการพูดคุยโอ้อวด ขิงโน่นขิงนี่
ช่วงที่ 3 เหวแห่งความสิ้นหวัง (Valley of Despair): เมื่อคุณเริ่มเรียนรู้มากขึ้น ได้ออกไปศึกษา พูดคุยถกเถียง ก็จะพบจุดเอ๊ะ? ที่ไม่เหมือนอย่างที่คุณคิด ทำให้รู้สึกว่าตัวเองยังรู้อะไรน้อยมาก ซึ่งนำไปสู่การปฏิวัติความมั่นใจที่เคยมีให้ดิ่งลงเหวทันที
ช่วงที่ 4 ไต่ระดับขึ้นสู่ภูมิปัญญา (Slope of Enlightenment) เมื่อเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ คุณจะเริ่มเข้าใจว่าโลกนี้กว้างใหญ่และซับซ้อนกว่าที่คิด ในที่สุดก็จะค่อย ๆ ฟื้นความมั่นใจกลับมา (แต่ไม่ได้เวอร์เหมือนตอนแรก)
ช่วงที่ 5 ที่ราบแห่งปราชญ์ (Plateau of Sustainability) ในที่สุด เมื่อคุณเป็นคนที่มีความรู้จริง ๆ จะเข้าใจว่า "เรารู้มากขึ้นก็จริง แต่ก็ยังมีอีกมากมายที่เรายังไม่รู้" และจะมีความมั่นใจแบบพอดี ๆ
ขาดความสามารถในการประเมินตนเอง เมื่อเราไม่รู้อะไรมากพอ เราก็จะไม่รู้ว่าตัวเองยังไม่รู้เรื่องอะไรบ้าง เหมือนคนที่เพิ่งเรียนทำอาหารได้ 2-3 เมนู แล้วคิดว่าตัวเองทำอาหารเก่งแล้ว
ไม่เห็นความซับซ้อนของปัญหา คนที่รู้น้อยมักมองปัญหาแบบผิวเผิน ไม่เห็นรายละเอียดปลีกย่อยที่ซับซ้อน จึงคิดว่าทุกอย่างง่ายกว่าความเป็นจริง เช่น คนที่ไม่เคยทำธุรกิจอาจคิดว่าแค่มีไอเดียดี ๆ ก็ประสบความสำเร็จได้แล้ว
ขาดประสบการณ์ในการเจอความล้มเหลว คนที่เพิ่งเริ่มต้นมักยังไม่เคยเจอปัญหาหรือความผิดพลาดมากนัก จึงไม่เข้าใจว่ามีอุปสรรคอะไรบ้างที่อาจเกิดขึ้นได้ ความมั่นใจจึงสูงเกินจริง
อคติการยืนยันความเชื่อเดิม เมื่อเรามีความเชื่อว่าตัวเองเก่ง เราก็มักจะเลือกจดจำแต่ความสำเร็จ และมองข้ามความล้มเหลว ทำให้ภาพมายาคติยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
ขาดการเปรียบเทียบกับผู้เชี่ยวชาญจริง คนที่โลกแคบ ๆ มักไม่ได้เจอคนที่เก่งกว่าตัวเอง จึงไม่มีจุดเทียบว่าระดับความสามารถที่แท้จริงของตนอยู่ตรงไหน
ในทางตรงกันข้าม ผู้เชี่ยวชาญมักมีความมั่นใจน้อยกว่า เพราะยิ่งรู้มาก ก็ยิ่งเห็นว่ามีสิ่งที่ไม่รู้อีกมากมาย พวกเขาจึงมักแสดงออกอย่างระมัดระวังและถ่อมตน การตระหนักรู้ถึงข้อจำกัดของตนเองตรงนี้เอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาความรู้อย่างแท้จริง
ถ้าคุณคิดว่าตัวเอง "ไม่มีวันติดกับดัก Dunning-Kruger Effect" นั่นอาจเป็นสัญญาณว่า...คุณติดกับดักไปแล้ว
คุณสามารถเลิกสนับสนุนปีศาจมายาในใจของตนเองได้ โดยการตั้งคำถามกับความเชื่อตนเอง “เรารู้จริง ๆ หรือคิดว่ารู้?” เดินทางออกจากอาณาจักรอันเบียดเสียดของตนไปสู่โลกภายนอก เพื่อแสวงหาผู้เชี่ยวชาญมาปกปิดจุดบอด ขอคำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์ หยุดแสร้งทำเป็นรู้ และให้ความสำคัญกับการเรียนรู้เติบโตต่อไป
ถ้ามีคนที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้จริง ๆ มานั่งตรงหน้าเรา เขาจะเห็นจุดอ่อนอะไรในความคิดของเรา
ถ้าผิดล่ะ
มีใครรู้มากกว่าเราในเรื่องนี้ไหม
เรามีหลักฐานอะไรที่พิสูจน์ว่าสิ่งที่ฉันเชื่อเป็นจริง
เราเข้าใจเรื่องนี้จริง ๆ หรือแค่เข้าใจแบบเปลือก ๆ
เรากำลังอธิบายจาก "ข้อมูลจริง" หรือ "แค่ความเห็นส่วนตัว"
เรากำลังมองหาความจริง หรือแค่ต้องการเอาชนะในการถกเถียง
เราสามารถสอนเรื่องนี้ให้คนอื่นได้โดยไม่ใช่ศัพท์ยากๆ หรือไม่
เราเคยอ่านหรือฟังผู้เชี่ยวชาญที่ "ไม่เห็นด้วย" กับเราไหม? หรือเราเลือกฟังแต่ฝ่ายที่ฉันชอบ?
เราเคยพิจารณาไหมว่า เราอาจเป็นแค่ "ปลาในบ่อเล็ก" ที่คิดว่าตัวเองใหญ่โต